ในโลกที่ผู้คนจำนวนมากพยายามมุ่งหน้าไปสู่เมืองใหญ่เพื่อหาโอกาส แต่คุณโอ้-พัฒนชัย ลิมไธสง กลับเลือกเดินสวนทาง
จากครูพิเศษในกรุงเทพฯ สู่นักพัฒนาในท้องถิ่น และกลับมาบ้านเกิดในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์ผ้าทอย้อมสีธรรมชาติ ‘ทอกะยาย’ จากอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ เขาคือหนึ่งในคนคืนถิ่นที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนสิ่งรอบตัวให้กลายเป็นสิ่งมีคุณค่า สร้างอาชีพให้ผู้สูงอายุ และสานต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นที่อาจเคยถูกมองข้าม
และเพราะ TCF Dreamable 2025 (Young Innovators Camp) อยากจุดประกายให้เด็กๆ กล้าคิด กล้าลงมือทำ ไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ ในวันนี้เราจึงชวนคุณโอ้มาแชร์เรื่องราวจริงของคนที่กล้าฝัน และเริ่มต้นลงมือจากสิ่งที่มีอยู่รอบตัวใน Session Talk & Share เมื่อวันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม 2568 เวลา 14.00-15.00 น.

เพราะฝัน…ทำให้เราเริ่มต้น ไม่ใช่แค่การคิด แต่ยังรวมถึงการลงมือทำ
จุดเริ่มต้นของคุณโอ้ เริ่มจาก ‘ใจ’ ที่อยากกลับบ้าน หลังปลดประจำการจากการเป็นทหาร คุณโอ้ตัดสินใจกลับบ้านไปใช้ชีวิตเรียบง่าย เริ่มต้นจากการปลูกข้าว ปลูกผัก และหัดทอผ้ากับคุณยายด้วยสองมือของตัวเอง โดยไม่คิดว่าจะกลายเป็นธุรกิจในอนาคต
“ผ้าเซ็ตแรกที่เราทอ เราเขียนโน้ตแนบไปกับผ้าถึงลูกค้า นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางเมื่อปี 2560” เขาเล่า
จากเพียงแค่ความสนใจ กลายเป็นความหลงใหล จากความหลงใหล กลายเป็นความตั้งใจที่จะ ‘สานต่อ’ ทั้งในแง่อาชีพ วิถีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างรุ่นในชุมชน ‘ผ้าทอไหมมัดหมี่ตีนแดง’ อันเป็นเอกลักษณ์ของบุรีรัมย์ ไม่ใช่เพียงแค่ผืนผ้า แต่คือสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวของชุมชน สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรม และความรู้ที่ตกทอดมาหลายชั่วรุ่น
แต่การจะสืบทอดสิ่งเหล่านี้กลับไม่ง่ายเลย
“เราเจอค่านิยมที่ว่า งานทอผ้าไม่เหมาะกับผู้ชาย เป็นอาชีพที่ไม่ถูกให้คุณค่าเหมือนครู พยาบาล ทหาร ตำรวจ เราเลยอยากตั้งคำถามว่า… เราจะต่อยอดอาชีพเดิมของครอบครัวให้ดีขึ้นได้ไหม”

เมื่อคุณโอ้พยายามปรับลวดลาย เปลี่ยนสี หรือทดลองเทคนิคใหม่ กลับเจอแรงต้านจากผู้ใหญ่ในชุมชนที่เคยชินกับรูปแบบเดิม การทำงานจึงไม่ง่าย แต่สิ่งที่ทำให้เขายัง ‘ยืนระยะ’ ได้นั้นคือความเชื่อว่า “เราไม่ได้ถักแค่ผ้า แต่เรากำลังถักทอชีวิต”
หลังจากนั้นคุณโอ้จึงรวบรวมความกล้า ถักทอความคิดสร้างสรรค์ ลงมือสร้างธุรกิจจากสิ่งที่มีอยู่ของชุมชนด้วยการออกแบบจนทอกะยายกลายเป็นตัวอย่างของ social enterprise หนึ่งที่เกิดจากการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย ทั้งผ่านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) และการสร้างโมเดลธุรกิจอย่างจริงจัง (Business Model Canvas)
อาจสรุปได้เป็น 4 ขั้นตอนหลักๆ คือ
หนึ่ง เริ่มจาก “ไอเดีย” ที่อยากเปลี่ยนบางสิ่ง
สอง ไปสู่ ‘การวางแนวทาง’ (Ideation) คล้ายกับการตั้ตคำถามว่า เราจะข้ามแม่น้ำด้วยวิธีไหน
สาม การทดลองใช้วิธีเหล่านั้นในการลงมือจริง
และสี่ ประเมินว่าสิ่งที่ทำตรงกับเป้าหมายหรือไม่
เขายังดึงดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่มาร่วมสร้างสรรค์คอลเลกชันบนรันเวย์จริง เพื่อเชื่อมโยงสินค้าท้องถิ่นกับสายตาของคนเมือง สะท้อนให้เห็นว่าผ้าทอพื้นบ้านก็สามารถมีพื้นที่บนเวทีแฟชั่นได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้น “การทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่มี Passion หรือแรงบันดาลใจ แต่ต้องมีทักษะในการยืนระยะ” ก็เป็นอีกสิ่งที่เขาคำนึงถึงเสมอ ในยุคที่ข้อมูลมากมายและเทรนด์เปลี่ยนตลอดเวลา เขาชวนให้ตั้งคำถามว่า “เราจะสร้าง wisdom จากข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร” เพราะสุดท้ายแล้ว ความรู้ที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่อยู่ในการลงมือทำ ล้มลุก และเรียนรู้ไปด้วยหัวใจ
Wisdom ในที่นี้คือภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่หากเรามองด้วยเลนส์ของการศึกษากระแสหลักอาจคิดไม่ถึงว่าที่จริงแล้ว ทุกๆ ท้องที่มีองค์ความรู้ที่เฉพาะเจาะจงและมีเอกลักษณ์ไปตามแบบของตัวเอง ซึ่งหากมองให้ลึกขึ้น เราอาจค้นพบว่าความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญา และองค์ความรู้ต่างๆ ล้วนมีอยู่รอบตัวเราเสมอ เพียงแค่รอเวลาให้เรามองเห็นและต่อยอด



‘ยาย’ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวผืนผ้านี้ แต่ ‘หลาน’ คือคนที่พาเรื่องราวนี้ไปไกลกว่าเดิม และในวันที่คุณโอ้มาพูดกับน้องๆ ในค่าย TCF Dreamable 2025 เขาไม่ได้มาในฐานะผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ แต่ในฐานะของคนธรรมดาที่กล้ากลับบ้าน กล้าตั้งคำถาม และกล้าต่อสู้เพื่อคุณค่าที่เขาเชื่อ
เพราะเมื่อเรารู้ว่าเรามีอะไรอยู่แล้วที่บ้าน เมื่อเรา ‘คิดเป็น’ ‘ทำเป็น’ และ ‘เห็นคุณค่า’ ของสิ่งที่มี นั่นแหละคือการเริ่มต้นสร้างสรรค์สิ่งยั่งยืนที่แท้จริง

“เราไม่ได้แค่ถักทอผ้า แต่เรากำลังทอความสัมพันธ์อยู่เสมอ และทออนาคตของชุมชนด้วยสองมือของเราเอง” คือสิ่งสุดท้ายที่คุณโอ้บอกย้ำอีกครั้งก่อนจะจากกันไป
