คุณภาคภูมิ มะหะสิทธิ์ CEO&FOUNDER GREENROCKET IMPACT VENTURE กับบทเรียนของคนธรรมดาที่ไม่ปล่อยผ่านความผิดปกติบนโลกใบนี้
มีคำถามหนึ่งที่คุณภาคภูมิ มะหะสิทธิ์ หรือ ‘พี่บ๊อบบี้’ ได้ยินบ่อยมากเวลาเขาพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม

“การดื่มน้ำจากขวดพลาสติก มันทำร้ายโลกได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ในช่วงเวลาหนึ่งคำถามนี้ฟังดูเล็ก แต่ความจริงกลับสะท้อน ‘ความปกติ’ ที่เรายอมรับมันมานานจนมองไม่เห็นแล้วว่ามันอาจผิด หลายคนปล่อยผ่านคำถามเหล่านี้ไปเหมือนกับความเคยชินในชีวิตประจำวัน แต่เขาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่ ‘เอ๊ะ’ แล้วไม่ยอมปล่อยผ่าน
“ตอนเริ่มต้นทำธุรกิจเรื่องสิ่งแวดล้อมในไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่มีใครพูดถึง sustainability หรอกครับ ไม่มีใครรู้จัก ESG หรือ Zero Waste ด้วยซ้ำ” พี่บ๊อบบี้เล่าย้อน

“สิ่งที่ผมมี คือ common sense ความรู้สึกว่า มันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง และถ้าเราไม่ทำ ก็คงไม่มีใครทำ” อีกทั้งตอนนั้นยังไม่มีใครมองว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมจะเป็นโอกาสทางธุรกิจ เขาเพียงแค่เห็นขวดน้ำพลาสติกในถังขยะ แล้วตั้งคำถามว่า “ทำไมถึงยังไม่มีใครลงมือแก้ปัญหานี้จริงจังเสียที”
หลายองค์กรที่ทำงานเพื่อสังคม พวกเขาเข้าใจดีว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร พวกเขาอาจต้องรอเงินสนับสนุนก่อนจึงจะสามารถลงมือทำได้ แต่สำหรับพี่บ๊อบบี้แล้ว สิ่งที่เขารู้สึกคือ…เราอาจไม่มีเวลาพอจะรอ เขาเลยเลือกวิธีของตัวเอง คือเริ่มตั้งบริษัท หาเงินด้วยโมเดลทางธุรกิจ แล้วใช้เงินนั้นลงมือแก้ปัญหาโดยไม่ต้องรอใคร
แนวคิดของเขาคือการผสมผสานระหว่างอุดมการณ์และความสามารถในการอยู่รอดในระบบทุนนิยม เขาสร้าง Business Model, Technology Model, Solution Model ที่ไปด้วยกันได้ เพื่อให้สิ่งที่เขาทำสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการบริจาค

“เราไม่ได้ขายแค่น้ำดื่มในขวด เรากำลังสร้างวิธีคิดใหม่ ว่าความสะดวกของคุณจะต้องไม่แลกมาด้วยความเสียหายของโลก”
“มนุษย์อาจเป็นสัตว์ชนิดเดียวบนโลกที่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์อยู่เหนือธรรมชาติ แต่สุดท้าย ถ้าเราไม่อยู่ร่วมกับระบบนิเวศ เราก็อยู่ไม่ได้”
พี่บ๊อบบี้เชื่อว่า เราอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านของ ‘อารยธรรมมนุษย์’ จากยุคที่เราอยู่เพื่อเอาชนะธรรมชาติ สู่ยุคที่เราต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติให้ได้ “เพราะถ้าคุณอยู่คนเดียวในโลกที่ไม่มีป่า ไม่มีน้ำสะอาด ไม่มีสัตว์อื่นเหลืออยู่ คุณจะอยู่ยังไง?”

แน่นอนว่า เส้นทางของพี่บ๊อบบี้ไม่ได้ราบรื่น มีหลายช่วงที่เหนื่อยล้าและท้อแท้ โดยเฉพาะเมื่อโลกยังไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไร แต่เขาเลือกเดินหน้าต่อด้วยการพัฒนาโมเดลธุรกิจให้แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ
เขายกตัวอย่างว่า DAISON ใช้เวลา 20 ปีในการสร้างเครื่องดูดฝุ่นเครื่องแรกที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นบริษัทระดับโลก
“ผมก็แค่คิดว่า ถ้าต้องใช้เวลา 20 ปีเพื่อสร้างสิ่งที่เปลี่ยนโลกได้ มันก็คุ้ม”
ในวันนี้คำว่า Sustainability กลายเป็นเทรนด์ เขากลับมองว่า ความท้าทายยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะเมื่อทุกคนอยากดูดี มีแบรนด์อยากทำ CSR และคนรุ่นใหม่อยากเป็น Green Influencer สิ่งที่แอบตามมาคือ ‘Greenwashing’ หรือการสร้างภาพเขียวแบบปลอมๆ
“ถ้าคุณเจอ Mentor ที่ไม่เข้าใจ เขาจะพาคุณไปทำแค่ให้ดูดี แต่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรจริงๆ” แต่ถ้าคุณมีอุดมการณ์ที่ชัด เขาเชื่อว่าเราจะรู้ว่าอะไรคือของจริง และอะไรคือการตกแต่ง


เขาเล่าถึงประเทศไทยว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ปรับตัวเรื่องความยั่งยืนช้าที่สุดในโลก เพราะยังไม่รู้สึกว่าได้รับผลกระทบมากพอ
ทั้งที่วันนี้ภูเขาหลายลูกกำลังกลายเป็นทะเลทราย น้ำท่วมเกิดบ่อยขึ้น และทรัพยากรธรรมชาติกำลังร่อยหรอทุกวัน
“ถ้าคุณไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับตัวเอง ลองถามดูสิ ว่าทำไมบ้านคุณน้ำท่วมบ่อย? แล้วไปหาคำตอบ คุณจะรู้ว่า ทุกอย่างโยงกลับมาที่สิ่งแวดล้อมหมดเลย”
ในครั้งนี้เขาเดินทางมาร่วมงาน Dreamable Meetup ในฐานะ Speaker เพื่อแบ่งปันแนวคิดให้กับเยาวชน
สิ่งที่เขาอยากส่งต่อไม่ใช่สูตรสำเร็จ หรือ How-to แต่คือความเชื่อว่า คนธรรมดา ๆ ที่ ‘เอ๊ะ’ กับสิ่งรอบตัว คือผู้เปลี่ยนโลกตัวจริง

“ถ้าคุณไม่เคยเอ๊ะอะไรเลย แปลว่าคุณคือผู้ถูกปกครอง
แต่ถ้าคุณเอ๊ะบ่อยๆ แปลว่าคุณคือคนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงโลก”
แล้วถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ล่ะ? “ก็แค่เริ่มลงมือทำก่อนครับ” เขายิ้ม
“ความมั่นใจมันไม่ได้มาจากการนั่งรอ มันมาจากการลงมือทำไปเรื่อยๆ แล้วค่อยๆ แข็งแรงขึ้นเอง
สิ่งสำคัญคือคุณอย่าเดินหนีกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม”
เพราะสุดท้ายแล้ว คนเปลี่ยนโลกไม่จำเป็นต้องฉลาดสุด หรือรวยสุด หรือดังที่สุด
แต่ต้องเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยผ่านความผิดปกติไปง่ายๆ
คนที่ ‘เอ๊ะ’ แล้ว ‘ลงมือ’
คนที่ ‘ท้อ’ แต่ ‘ไม่ถอย’

