บทสนทนาว่าด้วย ‘การถ่ายภาพเชิงภาวนา’ กับครูหน่อง-กฤชกร วงษ์ศรีษะ และครูโต้ง-ศรายุทธ์ ทัดศรี จากศูนย์จิตตปัญญาศึกษา

“การถ่ายภาพเชิงภาวนา เป็นเครื่องมือที่ทำให้สิ่งที่เร็วที่สุดในจักรวาลช้าลง คือความคิดของเราเอง”
ภาพถ่ายเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะนิยามตัวเองว่าเป็นช่างภาพหรือไม่ก็ตาม ทุกคนล้วนเคย ‘กดชัตเตอร์’ เพื่อบันทึกบางสิ่งบางอย่างไว้ข้างหน้า แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังมีการถ่ายภาพอีกแบบหนึ่งที่ไม่ได้มองหาแค่แสง มุม หรือความสมบูรณ์แบบทางเทคนิค หากแต่เป็นภาพที่สะท้อนมุมภายในของจิตใจ เราเรียกมันว่า ‘การถ่ายภาพเชิงภาวนา’ (Contemplative Photography)

ในงาน DREAMABLE Meetup เราได้พูดคุยกับครูหน่อง-กฤชกร วงษ์ศรีษะ และครูโต้ง-ศรายุทธ์ ทัดศรี ผู้ร่วมออกแบบกิจกรรมเวิร์กช็อปการถ่ายภาพเชิงภาวนา ที่จัดขึ้นโดยศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเข้าใจปรัชญาเบื้องหลังภาพถ่ายชนิดพิเศษนี้ ที่ไม่ได้เป็นแค่กิจกรรม แต่เป็นการเติมความช้าเข้าไปในชีวิต
เริ่มต้นด้วยภาพถ่าย เพราะมันใกล้ตัว

“เราเชื่อว่าภาพถ่ายเป็นหนึ่งในประตูแรกที่ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงมิติภายในของตัวเองได้ง่ายที่สุด” ครูโต้งเริ่มเล่า
แน่นอนว่ากล้องถ่ายรูปหรือสมาร์ตโฟนเป็นสิ่งที่ทุกคนมีติดตัว และการถ่ายภาพก็เป็นพฤติกรรมที่แทบไม่ต้องสอน เพราะคนส่วนใหญ่มักใช้กล้องในการจับภาพภายนอก แต่ถ้าเราเชื่อมสิ่งนี้เข้ากับการเรียนรู้ด้านใน มันสามารถกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการรับรู้และสื่อสารกับตัวเองได้เช่นกัน
“แม้แต่คนที่ไม่ชอบถ่ายรูปเซลฟี่ ก็ยังอาจชอบถ่ายดอกไม้ แสงเงา หรือภาพที่ให้ความรู้สึกบางอย่าง นั่นคือจุดตั้งต้นที่เราสามารถใช้ต่อยอดเข้าสู่การเรียนรู้ภายในได้”

ถ่ายรูปด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยกรอบคิดของช่างภาพ
ครูหน่องเสริมว่า ความสนใจในกล้องถ่ายรูปและการถ่ายภาพของเขาได้พามาพบกับแนวทางของ ‘การถ่ายภาพเชิงภาวนา’ ซึ่งเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ของอาจารย์ท่านหนึ่งในหลักสูตรจิตตปัญญา
“จากที่เคยถ่ายภาพด้วยมุมมองแบบช่างภาพที่เน้นองค์ประกอบภายนอก พอได้ลองถ่ายแบบภาวนา เรากลับพบว่าภาพหนึ่งภาพสามารถทำหน้าที่บางอย่างได้ลึกซึ้งมากกว่านั้น… มันกลายเป็นการอยู่กับตัวเอง อยู่กับความรู้สึกในขณะนั้น และมองเห็นสิ่งที่เคยมองข้ามไป” ครูหน่องเล่า

บทเรียนจากเก้าอี้หนึ่งตัว
กิจกรรมในเวิร์กช็อปออกแบบมาให้เรียบง่ายแต่ลุ่มลึก หนึ่งในโจทย์ที่ใช้คือ ให้ถ่ายภาพเก้าอี้ตัวเดียวให้ได้ 20 มุมมอง โดยห้ามขยับเก้าอี้
“เราต้องการให้ผู้เรียนเห็นว่า แม้สิ่งเดียวกัน แต่มุมมองที่แต่ละคนมีต่อมันกลับไม่เหมือนกันเลย นี่คือการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงที่เรียกว่า ‘ปฏิกริยา’ ซึ่งเป็นหัวใจของจิตตปัญญาศึกษา” คือเบื้องหลังการออกแบบการเรียนรู้หลักสูตรกระชับที่ครูหน่องให้ไว้ ในสองชั่วโมงครึ่งของเวิร์กช็อป แม้เวลาจะจำกัด แต่ผู้เรียนสามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในเล็ก ๆ บางคนรู้สึกว่าเขาเริ่มเห็น ‘ความรู้สึกตัว’ ที่เคยหล่นหายไป บางคนบอกว่า ‘ใจฟู’ อย่างที่ไม่คาดมาก่อน

ช้าลง เพื่อเห็นชัดขึ้น
สำหรับครูโต้งแล้ว “การถ่ายภาพเชิงภาวนา เป็นเครื่องมือที่ทำให้สิ่งที่เร็วที่สุดในจักรวาลช้าลง คือความคิดของเราเอง”
ธรรมชาติของการถ่ายภาพคือความเร็ว แค่ปลายนิ้วสัมผัส ภาพก็เกิดขึ้น แต่ในทางกลับกัน การถ่ายภาพเชิงภาวนาทำให้เราต้องถามตัวเองก่อนว่า อะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้เรากดชัตเตอร์ ณ ขณะนั้น อะไรที่ดึงดูดเรา หรือความรู้สึกแบบไหนที่กำลังเกิดขึ้น
“มันไม่ใช่การถ่ายเพื่อได้ภาพสวย แต่คือการถ่ายเพื่อเข้าใจว่า ณ ขณะนั้น เรากำลัง ‘รู้สึก’ อะไรอยู่” ครูโต้งเล่าเสริม

จากภาพสู่การใช้ชีวิต
เมื่อถามถึงการนำแนวทางนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ครูหน่องและครูโต้งบอกว่า การใคร่ครวญถึงภายในนั้น มันไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในการถ่ายภาพ

“เหมือนเวลาชงกาแฟ คุณอาจใส่น้ำร้อน รอให้มันไหลลง แทนที่จะรอผลลัพธ์อย่างเดียว ลองสังเกตกลิ่น เสียง หรือความรู้สึกตอนนั้นดู นั่นแหละคือการฝึกภาวนาอย่างหนึ่ง” ครูหน่องว่า
ครูทั้งสองท่านสังเกตว่า เด็กรุ่นใหม่มีความเปิดกว้างกับการเรียนรู้เรื่องโลกภายในมากกว่าที่คิด หลายคนเข้ามาในเวิร์กช็อปด้วยต้นทุนบางอย่างจากประสบการณ์ของตัวเอง ทั้งเรื่องสุขภาพจิต ความเครียด หรือแม้แต่การตั้งคำถามกับชีวิต

“สิ่งที่เราทำไม่ใช่การสอนให้ ‘เดินจงกรม’ แต่คือการให้พวกเขารู้ว่า ตอนนี้ฉันกำลังโกรธนะ ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกบางอย่างอยู่นะ” ครูโต้งเล่าเสริม
ในที่สุดแล้ว ‘การถ่ายภาพเชิงภาวนา’ อาจไม่ใช่แค่การเรียนรู้เทคนิคใหม่ในการจับภาพ แต่มันคือการหันมาเงียบฟังใจตัวเองด้วยความอ่อนโยน และค่อย ๆ เติม ‘ความช้า’ ให้ชีวิตที่วุ่นวาย ด้วยสายตาและหัวใจที่มองเห็นมากขึ้น
