จะเกิดอะไรขึ้น หากเด็กวัยมัธยมได้คิดแก้ปัญหาแบบเดียวกับสตาร์ทอัพ!?
หนึ่งในหัวใจสำคัญของ F11 Beta คือ ‘การสร้างพื้นที่’ ที่เอื้อให้เยาวชนได้ฝึกกระบวนการคิดอย่างแท้จริง
ทั้งคุณจี้-อรณา อนันตชินะ และคุณนิงค์-ภูริชญา จิรายุทัต จาก F11 BETA, Incubation Program for Early Stage Founders & Ventures ที่มาเป็นเมนเทอร์ให้กับโครงการ TCF Dreamable 2025 (Incubation for Lifelong Learning) ร่วมกับมูลนิธิไทยคมในปีนี้

ทั้งสองท่านเชื่อว่า ความคิดสร้างสรรค์อาจไม่ควรเริ่มต้นจากคำตอบ แต่ควรเริ่มจาก ‘การตั้งคำถาม” และ ‘การมีโจทย์ที่ชัด’ โดยเฉพาะเมื่อต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์กับปัญหาจริง
“เราพาน้อง ๆ ถอยกลับไปดูรากของปัญหา ตั้งคำถามว่า ‘ใครคือตัวจริงของผู้ใช้’ และ ‘เรากำลังจะช่วยอะไรเขา’ มันคือการเรียนรู้ที่จะ ‘เข้าใจ’ ก่อนจะ ‘แก้’ เพราะแนวทางนี้ทำให้การเรียนรู้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่เชื่อมโยงไปยังชีวิตจริง
เพราะทุกกระบวนการจะนำไปสู่การทดลองจริง คิดจริง ทำจริง และเข้าใจโลกจริงอีกด้วย”
คุณจี้และคุณนิงค์ได้ออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กๆ จากประสบการณ์ที่เคยได้ให้คำปรึกษากับสตาร์ทอัพมามากมาย ในฐานะทีม F11 Beta ที่เคยทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพหลากหลาย พวกเขาเชื่อว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุดนั้นไม่ใช่แค่การฟังหรือการจำ แต่ทุกอย่างต้องเกิดจากการ ‘ลงมือทำ’ และไอเดียแรกไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป ดังนั้นในกระบวนการ Incubation เด็กๆ จึงไม่ได้ทำเพียงแค่การคิดไอเดีย แต่ต้องออกไปสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายและผู้ใช้งานจริง โดยที่ทีม F11 Beta จะให้โจทย์สำคัญไว้ 3 ข้อ ได้แก่
หนึ่ง ปัญหาที่เราพบคืออะไร
สอง เรากำลังแก้ปัญหาให้ใคร
และสาม วิธีการของเราจะช่วยเขาได้อย่างไร
หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนของการทำ MVP (Minimum Viable Product) ซึ่งหมายถึงการทดลองไอเดียในรูปแบบที่ง่ายที่สุดเพื่อให้ได้รับฟีดแบคของจริง

“เราไม่อยากให้น้องๆ แค่คิดแล้วจบ แต่ต้องลองผิด ลองถูก แล้วเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้น เพราะมันไม่มีอะไรเวิร์กตั้งแต่ครั้งแรก และการเข้าใจจุดผิดพลาด อาจเป็นการทำให้เกิดการเรียนรู้จริงๆ” คุณนิงค์เล่า


ก่อนที่คุณจี้จะขยายต่อว่า “เราเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพอยู่แล้ว หน้าที่ของเราคือการสร้างพื้นที่และกระบวนการที่แข็งแรงพอ เพื่อให้น้อง ๆ ได้ใช้ศักยภาพนั้นจริงๆ”
จากประสบการณ์การทำงาน คุณจี้และคุณนิงค์เห็นว่าน้องๆ ในแต่ละรุ่นมีพลังและความเฉียบคม โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้เรียนรู้ได้รวดเร็วและกว้างขวางมากกว่ารุ่นก่อน โจทย์จึงขยับไปจาก ‘การสร้างสิ่งใหม่’ ให้เป็นการ ‘เห็นปัญหาได้อย่างชัดเจน’ เพราะจะนำไปสู่การ ‘วางโจทย์ได้อย่างถูกต้อง’









ซึ่งในทุกวันนี้ที่เราล้วนเติบโตในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทีม F11 Beta ก็ไม่ได้มองว่า AI เป็นภัยต่อความคิดสร้างสรรค์หากเราเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างถูกวิธี และอาจมองว่าสิ่งนี้คือ ‘เครื่องมือ’ ที่มีประโยชน์มหาศาล หากรู้เท่าทันและใช้มันอย่างมีวิจารณญาณ
“ถ้าเราใช้ AI แบบไม่คิดตาม เราก็จะได้แค่คำตอบแบบค่าเฉลี่ย แต่ถ้าเราใช้มันเป็นจุดตั้งต้น แล้วต่อยอดเอง มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังของความคิดสร้างสรรค์” คุณนิงค์ว่า
หากนิยามว่าโครงการ Dreamable ในครั้งนี้คือพื้นที่ sandbox หนึ่งที่ให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้และเติบโตได้ผ่านการจุดประกายฝันและลงมือทำ ทีม F11 Beta อยากนิยามตัวเองว่าอย่างไร คำตอบจากทั้งสองท่านน่าสนใจมาก เพราะทีม F11 Beta นิยามว่าพวกเขาเป็นเหมือน ‘พี่คนหนึ่ง’ ที่เคยผ่านวัยนี้มาแล้ว และอยากแชร์ให้รุ่นน้องได้เรียนรู้เร็วขึ้น ว่าความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว แต่มันอาจเป็นบันไดสำคัญที่จะทำให้ทุกคนเติบโตได้อย่างที่ใจอยากจะเป็น
พวกเขาไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นแค่ที่ปรึกษา แต่คือ ‘ผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้’ ที่ไม่บอกคำตอบ แต่คอยตั้งคำถาม ให้เด็กๆ ได้ค้นหาคำตอบของตัวเอง

การร่วมมือกันระหว่าง F11 Beta และมูลนิธิไทยคมจึงไม่ใช่แค่การจัดกิจกรรมร่วมกัน แต่คือการหลอมรวมพลังจากสองฝั่ง ที่มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ปลอดภัยและเปลี่ยนแปลงได้จริง
“เราเชื่อว่าเด็กๆ ทุกคนมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลก เพียงแค่เราต้องสร้างพื้นที่ที่เหมาะสม ให้เขาได้ลงมือทำจริง และเติบโตด้วยตัวเอง” คุณจี้กล่าวปิดท้าย
หลังจากนี้ทีม F11 Beta จะรับบทบาทเป็นผู้ไกด์ไอเดีย เป็นที่ปรึกษาให้กับน้องๆ ทุกโปรเจกต์หลังจากได้ลองเวิร์กช็อปกันอย่างเข้มข้น จะเป็นอย่างไร ติดตามความเคลื่อนไหวของ Dreamable Community ได้ทาง: DREAMABLE.THAICOMFOUNDATION.ORG